Sunday, 26 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของประเทศไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกข้อผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือจำหน่าย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจให้กับหลายฝ่าย เพราะไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับผลที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จ.กรุงเทพฯ ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับเพื่อการขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และเป็นความกลุ้มอกกลุ้มใจที่ “คุณครู” ต้องหาทางรับมือกับกัญชา ที่ไหลล้นเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้คุณครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยตั้งวง “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งก็อาจจะเป็นปัญหาแพร่กระจายใหญ่โต หากไม่มีมาตรการจัดการที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

อาจารย์หลายท่านเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนที่จะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เผชิญปัญหา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งโดยมากจะมีเหตุที่เกิดจากเด็กนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยผู้เรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอาการอยากนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะศึกษา ขณะที่คุณครูชอบใช้ กรรมวิธีการติเตียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้อยากมาเรียน เนื่องมาจากรู้สึกอับอาย และหวาดกลัว

จากการสังเกตของคุณครูผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีมากขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งคือเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

หากว่าอาจารย์จะต้องจัดการกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางแก้ปัญหาการใช้กัญชา ของเด็กนักเรียน แต่คุณครูที่เข้าร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เหตุเพราะการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้ว่าจะถูกบอกว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้โดยง่าย ก็เลยทำให้ปัญหาด้านการใช้กัญชา ในโรงเรียนเป็นปัญหาที่ไม่อาจควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์จะต้องพบเจอ

ปัญหาข้อหนึ่งที่คุณครูสะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TikTok ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่กล่าวว่า การใช้กัญชาจะมีผลให้อารมณ์เบิกบาน เวลาเดียวกันคุณครูเองก็ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้อาจารย์ปราศจากความพร้อมสำหรับการสอน หรือจัดการกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน อาจารย์เล็กน้อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-ข้อบกพร่องของกัญชา และพยายามเชิญเด็กนักเรียนพูดคุยแลกเปลี่ยน เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับมิได้รับการช่วยส่งเสริมหรือไม่มีคุณครูท่านอื่นร่วมด้วย เพราะเหตุว่าฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องตลกโปกฮา และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้

อย่างเดียวกัน แม้นักเรียนจะมีความสนใจหัวข้อนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงวิชาความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

ครูหลายคนชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน คือแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ส่งผลให้คุณครูปฏิบัติงานตรากตรำ ครูเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ออกรบแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่ทำให้ทราบทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนกระทั่งกรรมวิธีรับมือกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน

นอกนั้น ภาระงานอื่นๆเยอะๆที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้อาจารย์ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะละเลยต่อเด็กที่มีปัญหา หากแม้ครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนอาจารย์ หรือผู้ปกครอง ก็ส่งผลให้ครูผู้คนจำนวนมากยอมไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

อาจารย์ที่ร่วมวงเสวนาสะท้อนว่า ทางออกของหลักสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนคือ สร้างการศึกษาที่เปิดกว้าง ให้ผู้เรียนได้ตั้งปัญหากับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนได้ศึกษา และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงเปิดโอกาสให้ เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเรียน ครู และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ่ยถึงข้อดี – ข้อเสียของการใช้กัญชาอย่างไม่อ้อมค้อม และสามารถเข้าถึงข้อมูลกลุ่มนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยอาจารย์ที่ร่วมวงเสวนาให้ความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เช่นเดียวกับการติดต่อสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นได้ยาก เนื่องมาจากอาจารย์กับนักเรียนใช้คนละภาษา

ยิ่งไปกว่านั้น ค่าความนิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี อาจารย์ก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ยอมรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำให้การเห็นคุณค่าในตนเอง และกลับเนื้อกลับตัวให้ดียิ่งขึ้น ของนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น การทำงานกับความเชื่อถือของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถไว้ใจและพูดคุยได้ ซึ่งจะก่อให้เด็กนักเรียนรู้สึกปลอดภัย เกิดความเชื่อใจและไว้ใจ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่มากเพิ่มขึ้น

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่จะต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลืออาจารย์ในสถานศึกษาที่กำลังต่อกรกับปัญหาเรื่องการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงหลักการที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อคุ้มครองป้องกันเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงจุดอ่อนของมัน เช่นเดียวกับป้องกันไม่ให้กำเนิดคือปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ผู้สอน จนถึงคุณครูรู้สึกหมดพลังกับการขจัดปัญหารายวัน และลดทอนเลื่อมใสของครูที่ตั้งอกตั้งใจมาให้ความรู้กับเด็กนักเรียน