เกือบ 40 ปี แทบไม่เคยเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายแพ้คู่แข่งขันของตัวเอง ทั้งในบ้านและนอกบ้านแบบหมดรูป ราบคาบขนาดนี้มาก่อน
ด้วยสภาพทีมที่ไม่สมประกอบ ปราศจากตัวสำคัญอย่าง ราฟาแอล วาราน, ลุค ชอว์, สก๊อตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด แล้วก็ เอดินสัน คาวานี่ ที่ยังไม่หายเจ็บ เฉพาะอย่างยิ่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ไม่ได้รับอนุญาต จากสภาพจิตใจ ให้ลงสนาม เมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้อย่างหงส์แดงผู้อหังการที่ตัวผู้เล่นสมบูรณ์ทุกตำแหน่ง ฟอร์มการเล่นก็เปล่งปลั่ง แล้วไหนจะความจริงจังแล้วก็ทุ่มเทที่สูงเกินพิกัดเก็บ
รายนามผู้เล่น 11 ตัวจริงออกมา ราล์ฟ รังนิค เอาสูตร ‘หลังสาม’ มาใช้จริงๆ
ฟิล โจนส์ ที่ไม่ได้ลงมานานโดนจับไปบวกกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แล้วก็วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ประชิดข้างด้วย ดิโอโก้ ดาโลต์ กับ อารอน วาน-บิสซาก้า มิดฟิลด์ กึ่งกลางมีตัวรับอย่าง เนมานย่า มาติช รวมทั้ง ปอล ป๊อกบา กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทิ้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นกองหน้า โดยให้ แอนโธนี่ อีลันก้า เป็นตัวช่วย อย่างนี้ก็เข้าใจว่าน่าจะเล่นเกมรับเต็มรูปแบบ เพราะว่าเหตุการณ์มันบังคับให้จำต้องเล่นอย่างนี้ ราล์ฟ รังนิค จัดตัวผู้เล่นแบบเน้นเกมรับ แต่ผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับไม่ได้ลงไปเล่นเกมรับ แถมเล่นเกมรับกันไม่เป็น แทนที่จะถอยมาตั้งรับลึกๆเพื่อปิดช่องว่าง ไม่เปิดพื้นที่ให้ทีม ที่เกมรุกรวดเร็ว กลับพุ่งเข้าพบคู่แข่งขันแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง เพราะว่าหงส์แดง ต่อบอลกันเร็วและก็แม่น ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เพรสส์กันไม่เป็น ครึ่งหลัง ผู้จัดการทีมผู้ครอบครองสมญา ‘เดอะ โปรเฟสเซอร์’ พยายามต่อสู้ด้วยการปรับระบบการเล่นเป็น 4-2-3-1 โดยถอดเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง ฟิล โจนส์ ออกไปแล้วใส่ เจดอน ซานโช่ เข้ามาแทน อาการดีขึ้นขึ้นเล็กน้อย เมื่อต่อบอลกันได้นานขึ้น และพอทำเกมรุกได้บ้าง จุดหนึ่งเพราะว่า หงส์แดง ผ่อนเกมของตน เนื่องจากนำห่าง 2-0 แต่เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังปราศจากความดุดัน วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ก็ส่งบอลยัดให้เพื่อนที่ถูกประกบติดแถมจ่ายไม่ตรง ผลคือถูกฉกไปยิง 3-0 แฮร์รี่ แม็กไกวร์สวิตช์บอลแบบไม่จำเป็น นอกจากจะโด่งเกินไปแล้วยังย้อนหลังอีกด้วย จบเกม โดนกะซวกไป 4-0 รวม 2 นัด 9-0